Flash ปีที่ 3 ฉบับที่ 17 ตุลาคม-ธันวาคม 2556 | Page 75
Article
ดร.จารุต วิภูปฐพร
อยู่อย่างตื่น...
“การตืนอยูเ่ สมอจึงเป็นการมีสติกำกับความคิดจิตใจของเราในทุกขณะจิตในปัจจุบน
่
ั
เราจึงพร้อมทีจะรับรูเ้ หตุการณ์ทเี่ กิดขึนและสามารถพิจารณาเห็นได้ตามความเป็นจริง
่
้
ไม่ใช่ตามที่เรานึกอยากให้เป็น”
“ตื่น”เป็นค�าที่รู้จักกันดีอยู่แล้วโดยทั่วไปแต่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในความหมายของการตื่นจากการนอนหรือตื่นจากอาการหลับ
แต่การ”ตื่น”ในค�าสอนทางพระพุทธศาสนานั้นหมายถึงการที่เรารู้สภาวะทางกาย เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน หรือสภาวะทางจิต เช่น
โกรธ โลภ ใจลอย กลัว กังวล สุข ทุกข์ ซึ่งภาวะของการตื่นในลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นน้อยมากในคนทั่วๆไป
ลองพิจารณาถึงตัวเราเองว่าในวันหนึ่งๆ นั้นเรามีอาการ”ตื่น”อยู่บ้างไหม คนส่วนใหญ่แทบจะไม่ระลึกรู้เลยว่าขณะนี้สภาวะทางกาย
และสภาวะทางใจของเราก�าลังเป็นอย่างไร เราเดินอยู่แต่เราไม่ได้รู้สึกถึงภาวะทางกายที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเพราะใจเราก�าลังหลงไปคิดเรื่องอื่น
เราอาจจะก�าลังโกรธ กังวล หรือทุกข์ เราก็หลงไปติดอยู่กับความโกรธ ความกังวลและความทุกข์ อาการลืมสภาวะทางกายทางใจเช่นนี้คือ
การขาดสติ แต่เมื่อใดที่เรารู้ทันสภาวะทางกายทางใจ เช่น เดินอยู่ก็ระลึกว่าเดิน โกรธก็รู้ว่าโกรธ นี่คือภาวะที่เรียกว่า”ตื่น”
การตื่นอยู่เสมอจึงเป็นการมีสติก�ากับความคิดจิตใจของเราในทุกขณะจิตในปัจจุบัน เราจึงพร้อมที่จะรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและ
สามารถพิจารณาเห็นได้ตามความเป็นจริงไม่ใช่ตามที่เรานึกอยากให้เป็น
หลายคนอาจจะสงสัยว่าการรู้เท่าทันสภาวะเช่นนี้จะกระทบการประกอบอาชีพการงานหรือการด�าเนินชีวิตประจ�าวันไหม ค�าตอบคือ
ไม่ว่าเราจะท�าอะไรอยู่เราก็สามารถระลึกรู้หรือตื่นอยู่ได้เสมอโดยที่เราต้องตั้งใจและเต็มใจในสิ่งที่เ