B Connect Issue 12 B-Connect-12 | Page 116
ซื้อข้าวสดในราคาที่ชาวนาต้องการ คือ ตันละ 8,000 บาท ซึ่งเป็น
ราคาที ส ่ ง ู กว่าราคาท้องตลาด ซึ ง ่ ตอนนั น ้ ราคาตลาดอยู ท ่ ี่ 6,000 บาท
แล้ว แต่ราคา 8,000 บาทก็ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ชาวนาอยู
ได้และแฮปปี้ แต่เมื่อซื้อข้าวสด 8,000 บาท คุณก็ต้องไปแก้ปัญหา
ทางการตลาด ด้วยการขายข้าวสารในราคา 26 บาทให้ได้ ถ้าแก
ปัญหาเฉพาะการค้าอย่างเดียวนั้นจะไม่ยั่งยืน
การที ผ ่ มย� ำ ้ ว่าเป็นการช่วยเหลือ “แบบคนรวย” เพราะตอนหลัง
ผมมาเจอการช่วยเหลืออีกแบบที่ต้องเรียกว่า การช่วยเหลือ “แบบ
คนจน” เมื อ ่ ได้มาพบกับอาจารย์ย ก ั ษ์ เพราะการช่วยเหลือแบบคนจน
นั น ้ มีท ม ี่ าจากตาม “ศาสตร์พระราชา” ที ม ่ อ ี าจารย์ย ก ั ษ์เป็นผู ถ ้ า ่ ยทอด
องค์ความรู้ และการได้ร บ ั องค์ความรู เ ้ รื อ ่ งภูม ป ิ ญ
ญาท้องถิ น ่ จาก โจน
จันได ท�ำให้เราพบว่า นี่แหละคือหนทางเพื่อเติมเต็มความฝันที่เรา
อยากช่วยชาวนาให้มีชีวิตที่มั่งคั่งได้
Q
นายทุนโรงสีเลยกลายเป็นนักธุรกิจแนว “เพื อ ่ ชีว ต ิ ” หรือ
ท�ำนองนั น ้ เพราะจริงๆ แล้ว ในเบื อ ้ งต้นเลย โอกาสที ช ่ าวนา
จะอยู่อย่างยั่งยืนได้ ต้องหยุดการใช้สารเคมี ดังนั้น เมื่อผม
ประมวลความคิด ประมลเหตุการณ์ต า ่ งๆ ได้ก ท ็ ำ � ให้ผมได้ความคิดมา
ว่า ผมขอท�ำโครงการที ช ่ อ ื่ “ธรรมธุรกิจ” ที เ ่ คยคิดชื อ ่ ไว้นานแล้วตั ง ้ แต
เมื อ ่ ครั ง ้ บวชเรียน โดยขอให้อาจารย์ย ก ั ษ์และพี โ ่ จนเป็นประธานและ
รองประธานโครงการฯ ส่วนผมเป็นผู้จัดการโครงการให
ผมด�ำเนินโครงการตามที พ ่ ท ี่ ง ั้ สองด�ำเนินการมาก่อนหน้า นั น ่ คือ
การฝึกอบรมเกษตรกร เพื อ ่ เปลี ย ่ นชุดความคิดชาวนาและสอนความ
รู ท ้ ถ ่ ี ก ู ต้องให้ก บ ั ชาวนาก่อนว่า การท�ำการเกษตรที จ ่ ะยั ง ่ ยืนได้น น ั้ ต้อง
พึ่งพาตนเองให้ได้ก่อนและต้องไม่ปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว แต่ต้อง
ปลูกป่า 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ปลูกของกิน ของใช้ ของ
อยู่อาศัย เพื่อให้มีสภาวะอากาศที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย
จริงๆ ต้องยอมรับว่า องค์ความรู้แบบนี้เถ้าแก่โรงสีไม่มีใครรู้อย
แล้ว เพราะโรงสีก็จะมองแต่มุมการค้า แต่เมื่อเราได้ความรู้เกี่ยวกับ
ศาสตร์พระราชา ผมก็เดินกลับไปหาแกนน�ำชาวนาที ป ่ ด ิ ถนนประท้วง
ในครั้งนั้น ทั้งที่ปกติโรงสีที่ซื้อข้าวจะไม่รู้จักชาวนา เพราะแค่ยกสาย
หาพ่อค้าคนกลางที่เรียกว่า “ท่าข้าว” บอกวันนี้เอา 10 พ่วง (1 พ่วง
(รถพ่วง) = น�้ำหนัก 30 ตัน) จากนั้นก็โอนเงินไป ราคาขึ้น 10 สตางค
โอนเงินไป ราคาลง 20 สตางค์ก็โอนเงินไป
ในครั้งนั้นโรงสีสิริภิญโญจ่ายแทนรัฐบาลไป 120 ล้านบาท แต
ไม่ได้คืนจากรัฐบาลเลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่รัฐบาลก็ตาม รัฐบาล
ก็ใม่สนใจ ไม่มีใครสนใจความเดือดร้อนของเรา และที่สุด โรงสีก็ถูก
ธนาคารฟ้องยึด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจ�ำหรือนักการเมืองต่าง
ก็มีภารกิจของตนเองที่ไม่ใช่ประชาชน
ฉะนั น ้ เราก็เลยรู ว ้ า ่ การพัฒนาประเทศควรต้องเริ ม ่ ที ป ่ ระชาชน
นั น ่ แหละ ไม่ใช่เริ ม ่ ต้นที ข ่ า ้ ราชการหรือนักการเมือง เพียงแต่ถ า ้ จะไป
ได้เร็ว การเมืองต้องเข้าหนุนเสริม ข้าราชการจะได้หนุนตาม อย่าง
114
B-CONNECT MAGAZINE
วันนี้อาจารย์ยักษ์ (วิวัฒน์ ศัลยก�ำธร) ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้จะเป็นช่วงสั น ้ ๆ แต่ก ท ็ ำ � ให้เห็นความ
เปลี่ยนแปลงว่า เรื่องการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีคืบหน้ากว่าตอนท
อาจารย์ยักษ์ยังไม่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยเยอะมาก
Q
การเปลี่ยนชุดความคิดเกษตรกรไม่ใช่เรื่องง่าย เริ่ม
จุดประกายอย่างไร
จากการเรียนรู้จากอาจารย์ยักษ์ ท�ำให้ผมสามารถวางการ
ขับเคลื่อนอย่างชัดเจนและเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสร้างชุดความคิด
ใหม่กับชาวนาว่า ถ้าไม่ใช่ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า
จะเป็นหนทางสู่ความยั่งยืน จากเดิมที่คนพวกนี้เชื่อว่า ถ้าใม่ใช้สาร
เคมีช่วยจะท�ำให้ไม่ได้ข้าวเลยด้วยซ�้ำ หรือถ้าไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แต่นา
แปลงข้างๆ ใช้ แมลงก็จะมากินข้าวๆ ที ไ ่ ม่ใช้เคมีของเขาจนหมด หรือ
คิดว่าหญ้าจะขึ้นแทนข้าว
ผมเองก็เคยเชื อ ่ แบบนี แ ้ ละหยิบประเด็นนี ม ้ าท้าทายอาจารย์ย ก ั ษ
ว่า อาจารย์ท�ำได้หรือไม่ว่า ถ้าไม่ใช้เคมี ผลผลิตต่อไร่ต้องไม่ลดลง ถ้า
ท�ำไม่ได้ ชาวนาทั ง ้ ประเทศก็ไม่ม ท ี างจะท�ำอย่างที อ ่ าจารย์ต อ ้ งการได
บางคนบอกด้วยซ�้ำว่า การท�ำเกษตรอินทรีย์นั้นกว่าจะมีผลผลิตเท่า
เดิมอาจต้องใช้เวลาประมาณ 2-5 ปีด ว ้ ย ตอนนั น ้ เมื อ ่ 5-6 ปีก อ ่ น ข้าว
อินทรีย ร ์ าคาต่อกิโลกรัมไม่ต ำ �่ กว่าร้อยบาท แล้วการจะหาซื อ ้ ก็หายาก
ไม่มีวางขาย นอกจากไปซื้อกับชาวนา ซื้อตามอีเว้นท
อาจารย์ยักษ์ตอบผมว่า ท�ำได้ ผมก็บอก ชาวนาที่ท�ำนามา 40-
50 ปียังบอกท�ำไม่ได้ อาจารยักษ์ตอบผมกลับว่า พวกนั้นท�ำนาไม
เป็น ถ้าท�ำนาเป็นผลผลิตต่อไร่ไม่ลด เพราะอาจารย์ยักษ์มีบทพิสูจน
มาแล้วที่มาบเอื้อง ซึ่งเมื่อผมได้มีโอกาสไปที่นี่จึงทราบว่า มีคนเรียก
อาจารย์ยักษ์ว่า “ชายเพี้ยน” เพราะเคยตามเสด็จในหลวงรัชกาลท
9 จดบันทึกพระราชด�ำรัสของพระองค์ท่าน เพื่อขับเคลื่อนโครงการ
พระราชด�ำริของ ส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงาน
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ (ส�ำนักงาน กปร.) ส�ำนักนายก
รัฐมนตรี และเนื อ ่ งจากชาวบ้านท้าทายอาจารย์ว า ่ มัวแต่มาสอน มีเงิน
เดือนประจ�ำ รถหลวงก็ออกค่าน�้ำมันให้ ท�ำนาเป็นหรือเปล่า แน่จริง
ออกมาท�ำเองสิ อาจารย์ย ก ั ษ์ก เ ็ ป็นลูกชาวนาอยู แ ่ ล้วก็ลาออกจากงาน
ราชการมาสร้างศูนย์กสิกรรมมาบเอื้อง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เกษตร
อินทรีย์ไม่ท�ำให้ผลผลิตลดลง
นี่จึงท�ำให้ผมยอมเสี่ยงและพาชาวนา 90 คนจากเชียงใหม่มาฝึก
อบรมด้วยกันในปี 2013 ที ม ่ าบเอื อ ้ ง แต่มาวันแรกมีคนขอกลับบ้านถึง
40 คน เพราะคนที ม ่ าคิดว่า มาพักผ่อนสบายๆ แบบที พ ่ รรคการเมือง
หรืออบต.จัด ซึ ง ่ ประเด็นนี อ ้ าจารย์ย ก ั ษ์เตือนแล้วว่า เราต้องหาชาวนา
“หัวไว ใจสู ” ้ มา ถ้าบีบบังคับรับรองไม่ส ำ � เร็จ ซึ ง ่ ผมใช้ว ธ ิ เ ี ปิดเวทีและ
เกณฑ์ชาวบ้านมาและให้ชาวนาเกณฑ์ชาวบ้านมา แล้วพออบรมจริงๆ
เหลือไม่มากสัก 20-30 คน และเหลือคนที่สนใจท�ำจริงสิบกว่าคน
เท่านั้น ซึ่งเราก็ขอทดลองกับสมาชิกที่สนใจรายละ 1 ไร่เป็นไข่แดง